ปัจจุบันการขายของผ่านตัวกลาง เป็นเรื่องที่มีมากขึ้นในธุรกิจ และแน่นอนว่าพวกพ่อค้าคนกลางก็กำลังถูกตัดออกไป ทำให้แนวโน้มตอนนี้ธุรกิจอะไรก็ตามที่เป็นตัวกลางกำลังถูก Disrupt อย่างต่อเนื่อง เพราะมีหลายอย่างเข้ามาเปลี่ยนแปลงในส่วนนี้ เนื่องจากแบรนด์เองก็มองหาโอกาสในการขายของแบบ D2C โดยอาจใช้ประโยชน์ของช่องทาง E-commerce (D2C) คือ อะไร เราจะมาแชร์ความรู้กันในบทความนี้ 

       การตลาดแบบ D2C เป็นความท้าทายใหม่สำหรับแบรนด์ต่างๆ วันนี้เราเลยจะมาแชร์เกี่ยวกับการขายสินค้าแบบ D2C กันว่าคืออะไร ช่วยเสริมธุรกิจได้อย่างไร ผ่าน 4 เหตุผลนี้กัน (อ่านเพิ่มเติม > 4 ขั้นตอนทำ Online Marketing อย่างไรให้โคตรปัง)

Direct to Consumer หรือ D2C คืออะไร

       คือ การขายสินค้าและบริการโดยตรงจากบริษัทถึงผู้บริโภค เป็นการขายสินค้าแบบปลีกผ่านช่องทางการขายเฉพาะที่เป็นของแบรนด์เอง ไม่ผ่านตัวกลางอย่างเช่น พ่อค้าปลีก หรือ พ่อค้าคนกลาง โดยมีระบบรวบรวมสินค้า บริการจัดส่ง และชำระเงินอย่างสมบูรณ์ไว้ในช่องทางเดียว ไม่ได้ขายผ่านแพลตฟอร์ม E-Marketplace ตัวกลาง จุดนี้เองคือจุดที่ทำให้ D2C ต่างออกไปจาก B2C

       เพราะการทำธุรกิจแบบ B2C หรือ Business to Customer ยังคงต้องอาศัยพ่อค้าคนกลาง หรือการค้าปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้อ เป็นตรงกลางเชื่อมไปยังผู้บริโภค ในขณะที่การขายแบบ D2C บริษัทผู้ผลิตสามารถขายตรงถึงผู้บริโภคได้เลยโดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผู้บริโภคจะได้มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับแบรนด์มากขึ้น การทำ D2C กำลังกลายเป็นเทรนด์ E-Commerce ทั่วโลก โดยแบรนด์ต่างๆ ที่ใหญ่พอหรือมีกำลังทรัพย์ต่างเริ่มหันมาทำแพลตฟอร์มการขายเป็นของตนเอง

       หากลูกค้าเลือกซื้อสินค้าของคุณผ่านเว็บไซต์ขายของออนไลน์ E-Marketplace เหนือสินค้าจากคู่แข่ง คุณอาจจะชนะให้แง่ของยอดการขาย แต่คุณจะสูญเสียโอกาสสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าไป ประกอบกับลักษณะพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปโดยมีการหันมาช้อปปิ้งผ่านช่องออนไลน์มากขึ้น ทำให้เอื้อต่อการใช้กลยุทธ์นี้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ก็เป็นอีกตัวกระตุ้นหลักที่เร่งให้หลายบริษัทต้องหันมามองกลยุทธ์ D2C บนช่องทาง E-commerce มากขึ้นเมื่อพฤติกรรมการซื้อของของผู้บริโภคส่วนใหญ่ย้ายมาอยู่บนช่องทางออนไลน์

ข้อดีของการทำ Direct to Consumer หรือ D2C

1. สามารถออกแบบประสบการณ์การซื้อ ที่มีคุณภาพได้เต็มที่

อย่าพึ่งทำแบรนด์! ถ้ายังไม่รู้จัก Direct to Consumer (D2C)

       เพราะใครๆ ก็ต้องการประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้า และในส่วนนี้บริษัทก็มีอำนาจเต็มที่ในการออกแบบและสร้างสรรค์ประสบการณ์ต่างๆ ให้กับลูกค้า โดยไม่โดนขัดจากการที่ต้องผ่านร้านค้าปลีก รวมถึงควรทำให้แน่ใจว่าลูกค้าจะออกจากร้านค้าของคุณอย่างมีความสุขและพึงพอใจ  โดยทำเปิดรับ Feedback จากลูกค้า การมีข้อมูลของผู้บริโภคมากยิ่งสามารถนำไปต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์การตลาดต่างๆ ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และแน่นอนว่า Social Platform นั้นจะยิ่งทำให้แบรนด์ต่างๆ เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

2. ช่วยลดต้นทุน บวกกับเพิ่มรายได้ที่มากยิ่งขึ้น

       แน่นอนว่าทุกแบรนด์ต่างก็ต้องการการประสบความสำเร็จและยอดขายที่มากขึ้น การเปิดขายบนแพลตฟอร์มใหม่ถือเป็นการขยายช่องทางการขายสินค้าและการเข้าถึงผู้บริโภคออกไปให้มากขึ้น ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเพิ่มกำไรและสร้างยอดขายที่มากขึ้นได้ 

       นอกจากนี้การลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพ่อค้าคนกลาง ก็สามารถประหยัดต้นทุนได้มากขึ้นเช่นกัน จากการที่ไม่ต้องนำสินค้าไปจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีก หรือการเสียค่าธรรมเนียม โดยแบรนด์ต่างๆ สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรงได้มากกว่าเดิม การปิดการขายก็สามารถทำได้มากขึ้นถึงแม้เศรษฐกิจไม่ดี

3. สามารถนำฐานข้อมูลของลูกค้า มาต่อยอดในอนาคตได้

อย่าพึ่งทำแบรนด์! ถ้ายังไม่รู้จัก Direct to Consumer (D2C)

       เมื่อการทำ D2C คือการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อของแบรนด์เรา แทนที่จะเข้าร้านค้าปลีกหรือเว็บไซต์ E-Commerce นั่นทำให้แบรนด์มีโอกาสเก็บข้อมูลของลูกค้าผ่านเครื่องมือ Digital Tool ถ้าหากเราไม่ทำ D2Cเป็นตัวกลาง แบรนด์ของเราก็จะไม่เข้าใจลูกค้าอาจจะเสียโอกาสในการปรับปรุงสินค้าและบริการและอาจจะทำให้ยอดขายในอานาคตน้อยลงไปด้วย

4. ขายอะไรก็สามารถขายได้ ไม่ถูกจำกัดโดยตัวกลาง

       เพราะร้านไหนๆ ก็อยากที่จะขายสินค้าขายดี ทำให้ร้านค้าปลีกส่วนมากเอาแต่ของขายดีขึ้นโชว์หน้าหลักเพื่อทำยอดขาย ทั้งที่จริงแล้วแบรนด์ไม่ได้รู้เลยว่าแบรนด์อาจไม่อยากขายสินค้านั้นก็ได้ แต่พอทำ D2C แบรนด์ก็จะสามารถขายอะไรตามที่แบรนด์อยากจะนำเสนอ เนื่องจากไม่ถูกร้านค้าปลีกย่อยจำกัดอีกต่อไป ทำให้มีอิสระมากยิ่งขึ้น (อ่านเพิ่มเติม > How To ดึงดูดลูกค้าด้วย SEO ฉบับร้านค้าออนไลน์)

Direct to Consumer เทรนด์ค้าปลีกสำคัญ กับเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ถึงควรทำ

       ช่องทาง D2C เพิ่มโอกาสในการนำผู้บริโภคธรรมดาๆ ที่เข้ามาซื้อสินค้าของคุณให้กลายเป็นลูกค้าระยะยาวที่ผูกพันตลอดชีพได้ เพราะแบรนด์มีความสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า เพื่อนำมาปรับและส่งมอบประสบการณ์ช็อปปิ้งที่ตรงตามความต้องการส่วนตัวของลูกค้าแต่ละคนได้ ซึ่งเทคนิคการตอบสนองลูกค้าดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ลูกค้าของคุณส่วนใหญ่กว่า 70% ก็ต้องการการเอาใจใส่แบบนี้ด้วยเช่นกัน

       อย่างไรก็ตาม มีแบรนด์มากมายที่ประสบความสำเร็จจากการทำ D2C มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใหญ่ๆ อย่าง Nike Adidas และอื่นๆ และก็รวมทั้ง การที่ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่งต่างประสบความสำเร็จจากการจัดทำช่องทาง Direct to Consumer เพิ่มเติมจากช่องทางการขายเดิมที่มีอยู่แล้ว ตอนนี้คุณเริ่มเห็นหรือยังว่า ร้านค้าออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ E-Commerce เป็นของตนเองในอนาคตอันใกล้อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อมีร้านค้าลงทุนทำ D2C เป็นจำนวนมาก คงขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ใดจะสามารถหยิบยื่นประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า พันธมิตร และหุ้นส่วนทางธุรกิจได้ จึงจะเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจนี้

       หวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากการบทความนี้ ในการดำเนินธุรกิจไม่มากก็น้อย นอกจากเทคนิค D2C นี้แล้วก็ยังมีเทคนิคอีกมากมายที่น่าทำในยุคปัจจุบันและทาง Boxme ก็ยังมีเทคนิคและวิธีการมากมายที่ทำให้สามารถขายของออนไลน์ได้ดี โดยสามารถติดตามได้ที่บทความต่อไปของ Boxme ได้เลย 

       สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านไหนที่กำลังมองหาตัวช่วยจัดการ ธุรกิจ E-commerce หรือร้านค้าออนไลน์ของท่าน คลังสินค้า Boxme Thailand ให้บริการทั้งการจัดเก็บสินค้า พร้อมแพ็คและจัดส่ง ให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณง่ายในการจัดการมากขึ้น และกรณีที่ท่านจัดการเองไม่ไหว ไม่มีเวลามากพอในการทำ และต้องการระบบในการช่วยจัดการปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งทางเรามีระบบที่ช่วยบริหารร้านค้าออนไลน์ รวมทั้งระบบจัดการช่องทางการขายช่วยซัพพอร์ต สามารถปรึกษาทางเราได้จากช่องทางการติดต่อข้างล่างได้เลยครับ 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก > Grasp.asia

สนใจระบบเชื่อมต่อคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางในหน้าเดียว

ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-026-3165 หรือ > ขอรับใบเสนอราคา < กดที่นี่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *