Zara แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติสเปนที่หลายคนอาจรู้จักเป็นอย่างดี เพราะแบรนด์นี้มีความท้าทายตัวเองอย่างมากในการออกแบบสินค้าแลวางขายคอลเลคชั่นใหม่ไม่ซ้ำกันในทุก ๆ 2 สัปดาห์ รวมประมาณ 10,000 แบบต่อปี ทั้งสินค้าสำหรับผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก รวมไปถึงเครื่องประดับอื่น ๆ

  • Armancio Ortega เปิดร้าน Zara Store เป็นครั้งแรกบนถนนสายหลักใจกลางเมือง A Coruña ในแคว้นกาลิเซียประเทศสเปน ร้านนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก Armancio จึงเปิดร้านเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่งในสเปน
  • ช่วงปี 1980 Ortega ได้เริ่มเปลี่ยนการออกแบบกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายเพื่อลดระยะเวลารอคอยสินค้า และตอบสนองต่อเทรนด์ใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น ในสิ่งที่เขาเรียกว่า “instant mode”
  • นอกจากนี้ ในปี 1980 ยังได้เริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศผ่านเมืองปอร์โตประเทศโปรตุเกส
  • ในปี 1989 เริ่มบุกตลาดสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสในปี 1990
  • ปัจจุบัน Zara มีการขายอยู่ใน 73 ประเทศทั่วโลก รวมถึงอินโดนีเซียที่มีสาขาของ Zara กว่า 13 แห่ง

ZARA เริ่มต้นธุรกิจอย่างไรในอินโดนีเซีย?

ธุรกิจแฟชั่นในอินโดนีเซียเป็นอุตสาหรรมที่มีแนวโน้มความเติบโตอย่างมาก เนื่องจากความต้องการเรื่องแฟชั่นที่มากขึ้น เมื่อตระหนักได้ถึงแนวโน้มนี้ Zara จึงได้เข้ามาตีตลาดอินโดนีเซียตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2005 และให้สิทธิแก่บริษัท PT. Mitra Adi Perkasa Tbk.(MAP) (บริษัทที่จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น, กีฬาและไลฟ์สไตล์) ให้เปิดเครือข่ายร้านค้า Zara ในอินโดนีเซียในปี 2005

สำหรับสินค้าของ Zara นั้น MAP ได้นำเข้าโดยตรงจากสเปนและนำมาเก็บสต็อกไว้ในอินโดนีเซีย หมายความว่าหากมีสินค้าของ Zara ที่ไม่สามารถขายออกได้ ก็จะเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจของ MAP เอง แต่เมื่อ Zara เปิดตลาดอินโดนีเซียได้ไม่นาน ก็ทำให้เกิดปรากฎการณ์สำหรับ MAP เพราะ Zara กลับได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในตลาดแฟชั่นชาวอินโดนีเซียในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยความเป็นสินค้าแฟชั่นจากสเปนที่มีลักษณะเฉพาะจึงช่วยให้มีอิทธิพลเชิงบวกในสายตาผู้ซื้อชาวอินโดนีเซียอย่างมาก

How ZARA successfully enters the Indonesian market 2

แนวการทำงานแบบจริงจังและจริงใจที่พา Zara บุกตลาดได้ทั่วโลก

Zara สามารถครองใจนักช้อปชาวอินโดนีเซียได้เนื่องจากมีระบบการทำงานที่แตกต่างจากแฟชั่นแบรนด์อื่น ๆ เพราะไม่เพียงแต่ตอบรับความต้องการด้านเทรนด์ล่าสุดโดยการจัดแฟชั่นโชว์เท่านั้น แต่ Zara ยังมีการศึกษาและสังเกตความต้องการของผู้ซื้อในตลาดและประมวลผลออกมาเพื่อการออกแบบในคอลเลคชั่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยการให้ทีมดีไซน์เนอร์ประมาณ 200 คน เดินทางระหว่างประเทศอยู่เสมอ เพื่อดูแนวโน้มแฟชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการอัพเดตการผลิตและดึงดูดความต้องการของผู้บริโภคอยู่ตลอด แม้มีการเปลี่ยนแปลงของตลาด

นอกจากนี้ Zara ยังแสดงให้เห็นความแปลกใหม่ผ่านคอนเซป ‘เสื้อผ้าอบสดใหม่’ ที่ Zara จัดให้สินค้าของตนเป็นสินค้าเปราะบาง/เน่าเสียง่าย เป็นการเน้นย้ำการรับรู้ของผู้ซื้อว่าคอลเลคชั่นของ Zara จะมีออกแบบและเปลี่ยนแปลงไปทุกสัปดาห์ วิธีการนี้จะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าไม่อยากพลาดคอลเลคชั่นนั้น ๆ ในแต่ละสัปดาห์ จากการสำรวจของ Zara ในสเปน พบว่าลูกค้า Zara มาเยี่ยมชมและช็อปปิ้งที่ร้านโดยเฉลี่ย 17 ครั้งต่อปี

  • การตลาดของ Zara ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การโปรโมทผ่านโทรทัศน์หรือสื่อโฆษณาต่าง ๆ มากนัก แต่เลือกจะใช้วิธีการโปรโมทผ่านพลังของแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ โดยร้านค้าของ Zara มักตั้งอยู่ในสถานที่สำคัญ ๆ ในพื้นที่ พร้อมด้วยการตกแต่งภายในที่สวยงามและร่วมสมัยที่จะช่วยดึงดูดผู้ซื้อเข้าร้าน
  • การใช้โลโก้ สัญลักษณ์ และสีที่สอดคล้องกันกับ Zara ยังแสดงให้เห็นถึงความเฉพาะตัวของ Zara ซึ่งสามารถสะท้อนตัวตนของลูกค้าผ่านการสวมเสื้อผ้าของแบรนด์ได้ด้วย
  • ร้านค้าแต่ละแห่งของ Zara ได้รับการออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศพิเศษที่จะทำให้ผู้ซื้อรู้สึกมีความสุขระหว่างเลือกซื้อของ วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการมีตู้โชว์คอลเลคชั่นหน้าร้าน ที่มีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 2-3 สัปดาห์เพื่ออัพเดตเทรนด์ล่าสุด
  • ในช่วงที่มีแคมเปญโปรโมชั่น จำนวนผู้เข้าชมร้านจะถูกจำกัดเพื่อให้ผู้ซื้อมีพื้นที่ที่สะดวกสบายป้องกันไม่ให้ร้านแออัดเกินไป และยังมีพื้นที่สะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้าและทดลองสวมใส่

การทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นที่มาของความสำเร็จของ Zara การที่ทุกอย่างมีการอัพเดตอยู่เสมอ ทำให้ Zara กลายเป็นเจ้าแรกในตลาดที่มีสินค้าแฟชั่นล่าสุดวางขายก่อนใคร รวมทั้งความพยายามในการใส่ใจผู้บริโภคตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการโปรโมททำให้แบรนด์ Zara มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

Boxme เป็นผู้ให้บริการคลังสินค้าและช่วยเหลือในขั้นตอน Logistics ทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บสต๊อกสินค้าสำหรับส่งให้ลูกค้าต่างประเทศ การแพ็ค ไปจนถึงการจัดส่ง รวมถึงบริการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะขยายขนาดของธุรกิจ E-commerce ไปขายยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้โดยประหยัดต้นทุนการจัดการสินค้าและระยะเวลาการจัดส่งที่น้อยกว่า เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจสามารถมอบความพึงพอใจต่อผู้รับปลายทางได้อย่างดีที่สุด

ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-026-3165 หรือ > ขอรับใบเสนอราคา < กดที่นี่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *