การจัดสต๊อกสินค้าเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักสำหรับการจัดการธุรกิจร้านค้าออนไลน์ การจัดการที่ดีจะช่วยให้ร้านสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างเป็นระบบระเบียบและแม่นยำ เห็นการเติบโตของธุรกิจ ลดความผิดพลาด สินค้าขาดสต๊อก สินค้าตกหล่น ซึ่งอาจทำให้เสียต้นทุนหรือเสียโอกาสในการขาย
ความสำคัญของการจัดการสต็อกสินค้า

ป้องกันสินค้าเน่าเสีย – ถ้าร้านของคุณขายสินค้าที่มีวันหมดอายุอย่าง อาหาร หรือเครื่องสำอาง สินค้าเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเน่าเสียหรือหมดอายุหากขายไม่หมดก่อนถึงกำหนด ดังนั้นการจัดการสินค้าคงคลังที่ถูกต้องเหมาะสมจึงช่วยลดการเน่าเสียและช่วยให้เพิ่มลดสต๊อกวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ป้องกันปัญหาสินค้าคงคลังไม่มีการเคลื่อนไหว – Dead Stock คือ สินค้าที่ขายไม่ได้ อาจจะเป็นสินค้าหมดอายุ, สินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการ, สินค้าที่หมดฤดูกาลไปแล้ว หรือสินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานั้น ๆ โดยหากร้านมีการจัดเก็บสินค้าประเภทนี้มากเกินไปจะทำให้เสียต้นทุนในการรักษาสูง
ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้า – แน่นอนว่าการจัดเก็บสินค้าในโกดังนั้นก็มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องเช่าโกดัง ค่าใช้จ่ายจะผันผวนไปตามจำนวนสินค้าที่จัดเก็บ เมื่อคุณมีการจัดเก็บสินค้ามากเกินไปหรือว่าสินค้าประเภทนั้น ๆ ไม่มีการขายออก ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินค้าก็จะสูงขึ้น ดังนั้นบริหารจัดการสต๊อกให้ดีจะช่วยประหยัดเงินในส่วนนี้ได้
การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ

“First-In First-Out (FIFO)” เป็นหลักการสำคัญในการบริหารจัดการสต๊อกสินค้า หมายความว่า ถ้าซื้อสินค้าไหนมาก่อน ก็ต้องขายสินค้านั้นไปก่อน แล้วหลักการนี้ก็สำคัญมากกับสินค้าที่เน่าเปื่อยหรือมีวันหมดอายุ เช่น สต๊อกวัตถุดิบในการทำอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าของชำ และเครื่องสำอาง เป็นต้น
หรือคุณจะใช้หลักการนี้กับการจัดการสินค้าทั่วไปก็ยังได้ เช่น สินค้าที่วางค้างอยู่หลังชั้นวางและไม่มีใครหยิบถึง เพราะแพ็คเกจและดีไซน์ของสินค้าก็มีช่วงที่ได้รับความนิยมกับช่วงที่กระแสตกเช่นกัน และแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากให้สินค้าเหล่านั้นกลายเป็นสินค้าที่ขายไม่ออกหรอกจริงไหม ?
ดังนั้นหากต้องการจัดการคลังสินค้าอย่างเหมาะสม ควรมีการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่สอดคล้องกับหลักการ “First-In First-Out (FIFO)” นั่นหมายความว่า คุณต้องจัดวางสินค้าใหม่ไว้ด้านหลัง แล้ววางสินค้าที่สั่งซื้อมาก่อนไว้ด้านหน้า เพื่อสามารถหยิบจากโกดังไปขายได้คล่องยิ่งขึ้น
กำหนดจำนวนสินค้าในคลัง

ระบุจำนวนสินค้าแต่ละประเภทที่มีในคลังสินค้าตามยอดจริงที่มี ซึ่งส่วนใหญ่ร้านค้าจะสามารถจัดส่งสินค้าที่มีในคลังได้รวดเร็ว และนี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีให้กับผู้ซื้อที่ต้องการสินค้าเร็ว หากมีรายการสั่งซื้อเข้ามาเกินจำนวนสินค้าในคลัง ผู้ประกอบการ E-Commerce ควรกำหนดระยะเวลาในการสั่งสินค้าแต่ละตัว ให้สินค้าพร้อมขาย ไม่ขาดช่วง เพื่อไม่ให้การจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด โดยอาจทำให้ผู้ซื้อขอคืนเงินหรือให้คะแนนความพึงพอใจในระดับต่ำได้
จัดการ Stock Keeping Unit (SKU)

การจัดการสต๊อกสินค้าด้วยการสร้าง SKU เป็นหลักสากลที่คลังสินค้าทั่วไปใช้ในการคัดแยกประเภทสินค้า ซึ่งการแยกสินค้าแต่ละชนิด ที่มีต่างสี ต่างไซส์ หรือแม้กระทั่งคนละขนาดแต่แบบเดียวกัน ก็เป็นเรื่องยากในการคัดแยก ทำให้เกิดปัญหาการส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อผิดได้อยู่บ่อยครั้ง โดยที่หากจัดการสต๊อกโดยแยก SKU ทำให้สามารถแยกสินค้าแต่ละแบบให้แตกต่างกัน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดปัญหาการสับสนสินค้าของในฝ่ายผู้ขาย และสินค้าจัดส่งอย่างถูกต้องแม่นยำอีกด้วย
ตรวจเช็คสินค้าคงคลังเป็นประจำ

การกำหนดวันที่ต้องเช็คสต๊อกเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประการ E-Commerce ควรทำ โดยอาจกำหนดเป็นรายวันทุกวัน ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน เพื่อเป็นการตรวจสอบจำนวนสินค้าคงคลัง เปรียบเทียบกับจำนวนสินค้าที่ขายได้ และนำมาคำนวณยอดรายได้ กำไร และวางแผนการสั่งซื้อสินค้าในครั้งต่อไป จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดที่ต้องเสียเงินลงทุน หรือรีเช็คสินค้าที่ขาดหายไปได้
ใช้ระบบจัดการสต๊อก

การจัดการสินค้าคงคลัง หมายถึง การติดตามและบริหารสินค้าในร้านให้พร้อมและพอดีกับความต้องการของลูกค้าหรือพอดีต่อการขาย โดยจุดประสงค์ของการจัดการสินค้าคงคลังคือ
- สามารถตัดระดับสินค้าคงคลังหากมีการขายหลายช่องทางได้
- ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น
- มี Report ที่ช่วยให้ทราบว่าสินค้ารายการไหนขายดี ควรเพิ่มจำนวนสต๊อก
- ตัดปัญหาสินค้าคงคลังที่ไม่มีการเคลื่อนไหว
- ให้การขายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
- รองรับความต้องการของลูกค้า/ตลาด
- รู้ว่าเมื่อไหร่ควรสั่งสินค้าเพิ่ม (สต๊อกแบบ Real Time)
ระบบหลังบ้านดี มีชัยไปกว่าครึ่ง!

ระบบ Omisell จาก Boxme Fulfillment เป็นระบบจัดการหลังบ้านที่เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีช่องทางการขายผ่านหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, Shopify หรือเว็บไซต์ส่วนตัว โดยตัวระบบ Omisell สามารถจัดการออเดอร์จากทุกช่องทางขายและสต๊อกทั้งหมดได้ในหน้าเดียว ด้วยการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มการขายกับระบบคลังสินค้าของ Boxme ให้สามารถซิงค์ถึงกันได้ เมื่อมีคำสั่งซ์ื้อเข้ามาจากแพลตฟอร์มที่มีการขาย คำสั่งซื้อนั้นจะถูกส่งเข้ามารวมในหน้าจัดการของ Omisell เพื่อให้ผู้ขายสามารถมองเห็นและจัดการคำสั่งซื้อจากช่องทางต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เป็นระบบระเบียบ และแม่นยำ ลดเวลาการดูแลออเดอร์จำนวนมากที่วุ่นวาย สามารถดึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มได้อย่างถูกต้อง 100%
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: www.storehub.com. , www.ecommercebyssru.com
สนใจ Omisell ระบบจัดการสต๊อกสินค้า
ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง เพื่อขอรับรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02-026-3165 หรือ > ขอรับใบเสนอราคา < กดที่นี่